My boyfriend : [CH.23/END]

CH.23 END

 

“เวรแล้วไง”

“รีบออกไปจากที่นี่กันเห่อะ” พี่แทคพูดพลางหันมองไปรอบตัว ผมล่ะโคตรจะเห็นด้วย ตอนนี้ทุกอย่างพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย

“พวกนั้นต้องรู้แล้วแน่ๆ” พี่คุณพูดเสียงเครียดแล้วช่วยอูยองเอารูปปั้นเก็บใส่กล่องกระเป๋าที่เอาออกมา พี่แทคกับพี่มินจุนที่คงสำรวจห้องนี้อยู่แล้ว ตะโกนเรียกพวกเราไปที่หน้าประตูบางหนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นทางออก ชานซองเลยรีบคว้ามือผมวิ่งไปหาสองคนนั้น พี่คุณกับอูยองก็รีบวิ่งตามมาติดๆ

“มันโผล่ออกไปทางไหนกันเนี่ย”

พอเปิดประตูออกมา เราก็เจอกับเส้นทางเดิมๆ ทางเดินแคบๆ กับสองข้างทางที่เป็นกำแพง

“ตามมาเร็วจังวะ”

ยืนมันกันได้ไม่นาน พวกเราก็ออกตัววิ่งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงโวยวายดังอยู่ไม่ไกล ตายแระ นี่ผมจะเอาชีวิตรอดออกไปเจอหน้าพ่อหน้าแม่ไหมเนี่ย

“กูเป็นนักแต่งเพลงไม่ใช่นักวิ่งนะโว้ยยย”

“อย่าเพิ่งบ่น เก็บแรงไว้วิ่งเถอะ”

พี่แทคพูดพร้อมกับคว้ามือพี่มินจุนพาเร่งฝีเท้าตามพี่คุณกับอูยองที่วิ่งนำอยู่ทันที ผมเลยต้องเร่งฝีเท้าตามไปให้ทัน แล้วก็ถูกชานซองที่วิ่งรั่งท้ายอยู่ข้างหลังวิ่งขึ้นมาคว้ามือผมไปจับ พลางออกตัววิ่งตามคนข้างหน้าไปติดๆ

วิ่งกันมาได้สักพักก็เจอเข้ากับทางแยก แต่ยังไม่ทันได้มีเวลาหยุดคิด เสียงโวยวายและเสียงฝีเท้านับสิบคู่ที่ดังอยู่ด้านหลังก็เร่งให้เราต้องเสี่ยงดวง

ผมได้ยินเสียงพ่อบ้านชิลตะโกนให้คนพวกนั้นเอารูปปั้นจากเรามาให้ได้ และนั่นก็ทำให้พวกผมยิ่งเร่งฝีเท้ากันอีกครั้ง ขาผมแทบจะพันกันอยู่แล้ว โอ้ยยย กูจะตายอยู่ที่นี่ไหมเนี่ยย

ปัง ปัง!

“เฮ้ยยย เล่นปืนกันเลยเร้อะ!”

“กูไม่ยอมตายหรอกนะเว้ยยย ยังไม่ทันได้ไปเที่ยวรอบโลกเลย!!”

เสียงสบถด่าของพวกเราดังระงมไปกับการวิ่งหนีลูกปืนหัวซุกหัวซน ด้วยความกลัวตาย ทำให้ผมมีแรงฮึด วิ่งแซงชานซองจนตอนนี้กลายเป็นผมที่พาเขาวิ่งแล้ว

โอ้ยยย ยังไม่ทันมีงานเป็นหลักเป็นแหล่งเลย จะมาตายตอนนี้ไม่ได้หรอกนะ!

แล้วเราก็เจอทางแยกกันอีกครั้ง ผมค่อนข้างจะคุ้นทางนี้อยู่ไม่น้อย แต่เสียงปืนที่ดังไล่หลังมา ใครจะมัวมาหยุดคิดกันล่ะ!

เสียงเฉอะแฉะของน้ำดังก้องผสมปนเปไปกับเสียงตะโกนโวยวาย ผมเพิ่งสังเกตว่าเราวิ่งอยู่ในทางท่อระบายน้ำ ถ้าจำไม่ผิด สุดทางนี้เราจะเจอทางออกลงไปทะเล แต่มันไม่ธรรมดาตรงที่ว่าเป็นหน้าผานี่สิ…

พอวิ่งไปจนใกล้ถึงปลายอุโมงค์ ผมได้ยินเสียงพี่คุณวอเรียกกำลังเสริมดังมาแว่วๆ พร้อมกับเสียงน้ำทะเลซัดกระทบโขดหินด้านล่างดังขึ้นมาให้ได้ยินชัดแจ๋ว ลมทะเลกับกลิ่นเค็มพัดปะทะหน้า ทำให้ผมรีบเร่งฝีเท้าขึ้นอีกเมื่อเราใกล้ถึงสุดทาง

“โดด!!”

สิ้นเสียงพี่คุณ พี่มินจุนกับพี่แทคที่วิ่งไปถึงก่อนก็กระโดดลงไปอย่างไม่มีทีท่าลังเล ชานซองก็ยิ่งเร่งฝีเท้าดึงผมวิ่งไปข้างหน้า ซึ่งพี่คุณกับอูยองยืนรออยู่ปลายทาง

ปัง!

นาทีที่พวกเราสี่คนกระโดดลงมาพร้อมกัน เสียงปืนก็ดังขึ้นอีกนัด ไม่รู้ว่ามันโดนใครรึเปล่า หวังว่าคงไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ

หัวใจผมเต้นแรงมาก ตอนร่างทั้งร่างสัมผัสได้ถึงลมเย็นๆ พัดบาดผิวจนชา เบื้องหน้าคือน้ำทะเลสีดำที่ซัดกระทบโขดหิน ดูน่ากลัว ตายห่าแล้ว แบบนี้กระโดดลงไปจะเจอน้ำรึโขดหินกันแน่วะ

“จุนโฮ จุนโฮ!”

ผมรู้สึกเหมือนเวลาเดินช้าลงแปลกๆ เสียงชานซองที่เรียกชื่อผมดังแว่วเหมือนอยู่ไกลๆ ไม่รู้ว่าเขาดึงผมเข้าไปกอดตั้งแต่เมื่อไหร่ เพิ่งจะรู้ตอนเงยหน้าขึ้นไปเจอดวงตาคมโตที่จ้องมองมา สายตาผมเองก็พร่าเลือนเกินกว่าจะมองออกว่าเขามองผมด้วยสีหน้าแววตาแบบไหน แล้วตัวผมก็กระแทกกับผืนน้ำ ความเย็นเฉียบของน้ำทะเลครอบคลุมไปทั่วทุกอณูผิวจนร่างกายไม่รับรู้อะไร น่าแปลกที่ตกลงมาในน้ำแรงขนาดนี้ ผมยังไม่รู้สึกอะไร นอกจากสติที่เลือนลางก่อนทถกอย่างจะดับไป

 

—————————

ความรู้สึกแรกของผมในตอนนี้คือ…

เจ็บ

“อูยยย”

เพียงแค่ขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บปวดก็แล่นจี๊ดมาแถวๆ สะบักข้างหนึ่งจนต้องค้างอยู่นิ่งๆ เพื่อให้ความเจ็บนั้นคลายลง พอจะลืมตา ผมก็ต้องรีบปิดเปลือกตาลงอีกครั้งเมื่อเจอแสงสว่างจ้า ราวกับคนไม่ได้ลืมตาตื่นมานาน กว่าจะกระพริบตาปรับให้คุ้นชินกับภาพตรงหน้าได้ก็ใช้เวลาเป็นพัก

สิ่งแรกที่สายตาผมโฟกัสคือ…คนที่มันนอนน้ำลายยืดอยู่ข้างเตียงเนี่ย

ผมนอนกระพริบตามองชานซองที่หลับฟุบอยู่ข้างเตียง ไม่รู้ทำไมไม่ไปนอนบนโซฟาดีๆ

เอ้า แล้วนี่ผมอยู่โรงพยาบาลหรอกเร้อะ??

“โอ้ย”

ลืมตัวว่าตัวเองบาดเจ็บอยู่ ดันทะลึ่งขยับตัวจะลุกขึ้นนั่งซะงั้น คราวนี้เจ็บจนน้ำตาแทบเล็ด แล้วนี่หลังผมไปโดนไรมาวะ? โขดหินแทง กระแทก หรืออะไร??

“จุนโฮ!”

สงสัยเพราะเสียงของผมมันคงดังไป จู่ๆ คนที่นอนอยู่ก็กระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งจ้องผมตาโต แถมยังตะโกนชื่อผมออกมาซะดังลั่น ถามจริง นี่ไม่ได้อยู่คนละฟากตึกนะ นั่งกันอยู่ใกล้ๆ แค่นี้เอง จะเสียงดังทำไม

“เรียก…แค่ก!”

พอจะอ้าปากด่า คอก็ดันแห้งแทบเป็นผุยผงเลยไอออกมาแทน ชานซองเห็นแบบนั้นก็ตาลีตาเหลือกไปรินน้ำมาให้ผมอย่างลนลาน นี่ผมแค่คอแห้ง อะไรจะต้องขนาดนั้น

พอได้ดื่มน้ำให้ชุ่มคอ ก็รู้สึกดีขึ้นหน่อย ชานซองก็เอาแต่ยืนจ้องหน้าผม อะไรวะ

“เป็นบ้าอะไรของนาย” ผมถามออกไปเสียงแหบ กระแอมไออีกรอบก่อนจะพูดออกไปอีกครั้ง

“แล้วนี่ฉันเป็นไร อย่าบอกนะว่าไปกระแทกโขดหิน มันจะเป็นอะไรที่โง่มาก เพราะนายดูไม่เห็นเป็นไรเลย” เท่าที่จำได้ ตอนโดดนลงมาชานซองดึงผมเข้าไปกอดนี่ หมอนั่นก็ต้องเจ็บตามผมด้วยสิ

“……….”

“เอ้า จะเงียบอีกนานไหมวะ แล้วไม่ไปตามหมอมาหรอ เห็นปกติเวลาใครเขาฟื้นกันจะต้องไปตามหมอมาดูอาการไม่ใช่ระ…อ้ะ”

พูดยังไม่ทันจบ จู่ๆ ชานซองก็พุ่งเข้ามากอดจนหน้าผมซุกอยู่ตรงอกของเขา อื้อหือ กลิ่นน้ำหอมแรงมาก นี่ถามจริง ไม่ได้อาบน้ำมากี่วันแล้วถึงได้อาบน้ำหอมแทนแบบนี้ และถึงจะเป็นการพุ่งเข้ามากอด แต่ชานซองก็ผ่อนแรงไม่ให้กระทบกระเทือนร่างกายผม

“ฉันนึกว่านายจะพิการซะแล้ว”

“โอ้โห นั่นปากหรอวะ”

ชานซองกอดผมอยู่อย่างนั้นก่อนจะยอมผละตัวออก ผมค่อยๆ ขยับตัวนอนตะแคงเหมือนเดิม ชักจะปวดๆ แผลละ สรุปผมโดนอะไรวะเนี่ย

“นายโดนยิง”

เหมือนชานซองจะรู้สิ่งที่ผมจะถาม เขาก็ชิงพูดออกมาหน้านิ่ง

ว่าแต่โดนยิง? ทำไมตอนโดนมันไม่รู้สึกไรเลยวะ

“โดนยิง?”

“อือ”

“ตอนไหนวะ?”

“เฮ้อออ ถ้าไม่ได้ฉัน ป่านนี้นายคงเป็นผีเฝ้าทะเลไปแล้ว บ้าเอ๊ย! ตัวเองโดนขนาดนี้แล้วยังไม่รู้อีก”

“เอ้า ใครจะไปรู้วะ แค่โดดลงทะเลมาขนาดนั้น ใจฉันมันกองไปอยู่ที่ตาตุ่มละโว้ย ใครจะไปสนใจอะไรอย่างอื่นได้ละ แล้วมันไม่ใช่จะต่ำๆ นะ สูงซะขนาดนั้น ข้างล่างยังเป็นโขดหินอีก ไม่หัวฟาดตายก็บุญละ อ้ะ ว่าแต่คนอื่นเป็นไงบ้าง” ผมพล่ามยาวเหยียดจนชานซองทำหน้ามึนใส่ แต่พอผมพูดจบ รายนั้นก็กวนทีนผมโดยการบอกจะไปตามหมอแล้วเดินออกไปเลย สรุปไอ้ที่ผมพูดจนน้ำลายเหือดน้ำลายแห้งนั่นไม่ได้เข้าหูอะไรเลยใช่ไหม

หมอเข้ามาตรวจเช็คร่างกายผมปกติตามหน้าที่ ลูกกระสุนที่ยิงมาไม่โดนจุดสำคัญในร่างกาย ผมเลยไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่นอนโง่ๆ รอให้แผลที่ผ่าเริ่มสมานตัวอีกหน่อยก็กลับบ้านได้แล้ว

“พี่คุณกับอูยองปิดคดีไปแล้ว”

หลังจากหมอกับพยาบาลออกไปได้สักพัก ผมก็หัขวับไปทำหน้างงใส่ชานซองทันทีที่จู่ๆ หมอนั่นก็พูดขึ้นมา อะไรวะ ตอนถามไม่ตอบ พอแบบนี้ดันเจือกพูด

“คืนนั้นหลังจากส่งนายไปโรงบาล พี่เขาก็บุกจับคนในตระกูลคุณชอนซา แต่พี่ชายคุณชอนซารอดไปได้ ส่วนพี่แทคกับพี่มินจุนได้ค่าปลอบขวัญเป็นเงินจำนวนหนึ่งพร้อมตั๋วทัวร์ยุโรปฟรีๆ เป็นค่าตอบแทนน้ำใจด้วย แล้ว…รายการก็ต้องหยุดกลางคัน ฉันทำเรื่องขอถอนตัวจากรายการแล้ว เลยไม่ได้ตามเรื่องว่าเขาจะถ่ายต่อเมื่อไหร่”

ทั้งห้องเงียบลงเมื่อชานซองพูดจบ

“จบแล้วสินะ งั้นแบบนี้นายก็ต้องจ่ายเงินให้ฉันแล้วดิ เอามาเลยๆ” ผมพูดกลั้วหัวเราะแล้วแบมือกระดิกนิ้วตรงหน้าชานซอง ในใจรู้สึกโหวงๆ แต่ผมยังฝืนยิ้ม ถึงแม้กล้ามเนื้อทุกส่วนบนใบหน้าจะตึงจนยิ้มไม่ออกก็ตาม

“พ่อแม่ฉันยอมแล้ว เขาจะไม่ยุ่งเรื่องพวกนี้กับฉันอีก”

ชานซองพูดยิ้มๆ แต่มองยังไงรอยยิ้มนั้นก็ดูเศร้ามากในสายตาผม

“งั้นก็ดีเลยดิ!” ผมแสร้งทำเป็นร่าเริงดีใจไปกับคำพูดของชานซอง แต่ดูเหมือนสถานการณ์มันไม่ได้ดีขึ้นเลย ชานซองยังคงนิ่งมองผม ดวงตาคมโตนั่นจ้องมองผมเหมือนพยายามค้นหาอะไรจากสีหน้าและสายตาของผมที่เอาแต่หลุบไปหลุบมา ไม่ยอมสบตาเขาตรงๆ สุดท้ายผมก็ทำได้แค่เงียบ ถึงแม้จะทำเป็นหัวเราะแสดงความยินดีกับเขาแค่ไหน มันก็เหมือนเป็นแค่การกระทำโง่ๆ ที่พยายามกลบเกลื่อน ‘บางสิ่ง’ ที่เกิดขึ้นระหว่างเราสองคน

“จุนโฮ ฉันถามจริง นายไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรอ”

ผม…ได้แต่เงียบ

อยากจะขยับตะแคงนอนหันไปอีกข้าง หนีดวงตาคมโตที่จ้องมองมาด้วยสายตาที่ทำให้ผมอยากจะหายตัวออกไปจากห้องนี้ซะให้ได้ แต่ก็ทำได้เพียงหลุบตามองผืนผ้าปูตรงหน้าแทน เพราะหมอให้นอนได้แค่ท่าเดียวนี้แหละ ขยับตัวมากไม่ได้ เดี๋ยวปากแผลเปิดขึ้นมาล่ะเป็นงานอีก

แล้ว…ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึก ที่ไม่พูดเพราะผม…ไม่กล้า

พอมองย้อนกลับไปตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักชานซอง ไม่เคยเลยที่ผมกับเขาจะไม่มีปากเสียงกัน มันตลกดีนะ ที่จู่ๆ ผมกับใครก็ไม่รู้ต้องมาเล่นละครตบตาเป็นแฟนกันตั้งแต่เจอกันได้เพียงไม่กี่นาที แต่นับว่าเขาเป็นความทรงจำครั้งยิ่งใหญ่สำหรับผมเลย ถ้าไม่มีชานซอง ผมคงไม่ได้เจอกับพี่แทคยอน พี่มินจุน พี่คุณ และอูยอง และคงไม่ได้เล่นเกมบ้าๆ ในรายการที่มีคนดูครึ่งค่อนประเทศแบบนั้น ผมสนุกกับช่วงเวลาพวกนั้น ถึงแม้ช่วงแรกๆ อยากจะวิ่งไปกู้เงินนอกระบบมาคืนชานซองเลยก็เถอะ

ผมรู้สึก…รู้สึกมาได้สักพักแล้ว ว่าชานซองไม่ใช่แค่ทำให้ผมรู้สึกดี แต่เขายังเป็นโลกใบใหม่ของผมอีกด้วย

“สิ่งที่ฉันบอกไป ฉันไม่เอาคืนหรอกนะ เพียงแต่ว่านาย…จะรับมันไว้รึเปล่า”

จบประโยคนั้น ชานซองก็หมุนตัวเดินออกจากห้อง ทิ้งให้ผมได้อยู่เพียงลำพัง พร้อมกับทบทวนประโยคนั้นที่เขาทิ้งไว้ให้

มันทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่เขาบอก ซึ่งมันวนเวียนอยู่ในหัวผมตลอด

ประโยคสั้นๆ เพียงไม่กี่พยางค์ จากสัมผัสที่ลากบนฝ่ามือผม ร้อยเรียงเป็นถ้อยคำสั้นๆ

‘ฉันชอบนาย’

.

.

.

หลายวันแล้ว หลายวันแล้วมากๆ

ตั้งแต่ชานซองทิ้งประโยคบ้าๆ นั่นให้ผม เขาก็ไม่เคยโผล่หน้ามาอีกเลย จนถึงตอนนี้ วันที่ผมได้ออกจากโรงพยาบาล เขาก็ยังไม่โผล่มา…

ไหนบอกว่าจะไม่เอาคืนไง แล้วทำไมถึงหายหัวไปแบบนี้

แต่ในระหว่างนั้นผมคลายเหงาลงได้บ้าง เพราะพี่แทคยอนกับพี่มินจุนมาเยี่ยมผมอยู่บ่อยๆ พี่แทคนอกรายการกับในรายการอย่างกับคนละคน พี่แกพาพี่มินจุนมาเยี่ยมผมแต่ละวันนี่ใส่สูทเซ็ตผมมาซะหล่อเช้งตลอด พี่มินจุนก็ยังเหมืนเดิมครับ รั่วๆ บ้าๆ เห็นบอกว่าเคลียร์งานเสร็จจะไปทัวร์ยุโรปกับพี่แทคแล้ว คิดแล้วก็อิจฉา

วันนี้พี่คุณกับอูยองจะมารับผมไปส่งที่บ้านครับ นั่นไง พูดถึงก็มาพอดีเลย

“รอนานไหม พอดีรถติด แย่เลย” พี่คุณเอ่ยปากบ่นเมื่อเห็นผมเก็บของทุกอย่างเสร็จแล้ว จริงๆ มันก็มาในรูปแบบกระเป๋าเดินทางและข้าวของของผมทั้งหมดที่เอาไปตอนถ่ายรายการนั่นแหละ ถ้าถามถึงว่ามันมาได้ไง เรื่องนี้คงเป็นหน้าที่ของพี่คุณกับอูยองและคนในทีมของเขานั่นแหละ คดีปิดไปแล้ว แต่สองคนนี้ยังติดต่อกันอยู่ ทะแม่งๆ เนอะว่ามั้ย

“มาๆ เดี๋ยวช่วยถือ ช่วงนี้อย่ายกของหนักมากนะ แล้วก็อย่าทำอะไรหักโหมมากด้วย เดี๋ยวแผลฉีกขึ้นมาล่ะแย่ เอ้านี่ ยานาย” อูยองเข้ามาช่วยผมถือกระเป๋าแล้วใส่ผมซะชุดใหญ่ ก่อนจะปิดท้ายด้วยกันยัดถุงยาใส่มือผม

“ขอบใจนะ”

“ไม่เป็นไร อย่ามองฉันแบบนั้นดิ ขนลุกอ่ะ” อูยองขมวดคิ้วมองผมแล้วขยับตัวถอยห่าง เอ้า ไอ้นี่ คนจะซาบซึ้งน้ำใจหน่อยก็ไม่ได้

พี่คุณกับอูยองช่วยผมถือกระเป๋าทั้งหมด มีเพียงเป้คู่เก่งที่ใส่แต่ของใช้จำเป็นของผมนั่นแหละที่อาสาถือเอง นี่คงเป็นครั้งแรกในรอบเดือนที่ผมได้มาเหยียบบนแผ่นดินโซล หลังจากที่ไปลอยคออยู่ในทะเล แล้วมาติดแหง็กอยู่โรงพยาบาลหลายวัน

“เอานี่จุนโฮ ชานซองฝากมาให้”

พอขึ้นมาบนรถปุ๊บ พี่คุณก็เอี้ยวตัวส่งกล่องอะไรสักอย่างมาให้ผม ซึ่งพอผมได้ยินชื่อของคนฝาก ก็รีบคว้ามาถือไว้ทันทีจนพี่เขาหลุดขำ

เมื่อรถออกตัวได้สักพัก ผมก็เปิดกล่องที่ถืออยู่ ภายในกล่องมีเพียงสมุดเล่มเดียวเท่านั้น มันพิเศษตรงที่ว่า สมุดเล่มนี้มันคือสมุดไดอารี่ที่ผมกับเขาทำคู่กัน และเล่มนี้ก็คือของชานซอง…

ผมเปิดดูผ่านๆ ยังไม่ได้อ่านก็มาเจอกับบางอย่างที่คั่นหน้าสมุดไว้ และสิ่งนั้นทำให้หัวใจผมกระตุก

เช็คเงิน

จำนวนเงินมหาศาลบนเช็คนั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นเลย แต่มันกลับทำให้รู้สึกใจหาย ในอกมันโหวงๆ ยังไงชอบกล ความรู้สึกมันปนเปจนยุ่งเหยิง ผมรู้เพียงว่าหน้ามันตึงจนยิ้มไม่ออก และขอบตากลับร้อนผ่าวแทน

เช็คใบนี้มันเท่ากับว่าสัญญาที่ผมกับชานซองทำร่วมกันสิ้นสุดลงแล้ว…

ทั้งๆ ที่ผมควรจะดีใจ แต่ทำไมกลับรู้สึกว่า…ต่อให้ตัวเลขบนเช็คในมือมันจะสูงกว่านี้ ผมก็ยังคงยิ้มไม่ออก และที่น่าตกใจคือ…ผมกลับไม่ได้อยากได้มัน

ไล่สายตาอ่านตัวอักษรหวัดๆ ที่เขียนเป็นประโยคสั้นๆ บนหน้ากระดาษที่ถูกคั่นไว้ น้ำตาที่ไม่รู้เอ่อคลอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็หยดลง

‘ฉันรักนาย’

ผมปาดน้ำตาบ้าๆ ที่ไหลออกมาออกลวกๆ รู้สึกปวดใจจนไม่อยากจะเห็นของพวกนี้ แต่พอจะเก็บสมุดเข้ากล่องไว้ดังเดิม สายตาก็ต้องสะดุดเข้ากับถุงกำมะหยีอันเล็กที่หลงเหลืออยู่ในกล่อง พอแกะออกมา หัวใจผมก็แทบหยุดเต้น

แหวนเงินเกลี้ยงสลักตัวอักษรย่อว่า ‘CS♥JH’ แนบมากับกระดาษโน้ตใบเล็ก ซึ่งทำให้น้ำตาที่คล้ายจะเหือดแห้งไปแล้วของผมไหลลงตามแรงโน้มถ่วงอีกครั้ง

‘แหวนวงนี้ฉันแอบไปทำมาตอนที่นายกำลังบันทึกเทปพิเศษอยู่ล่ะ คิๆ’

‘อีจุนโฮ แต่งงานกันมั้ย?’

“พี่คุณ! พาผมไปบ้านชานซองหน่อย!”

“ไปตอนนี้ก็ไม่เจอหรอก เมื่อเช้าพี่เพิ่งเจอเขามาเอง”

“อ่าว แล้วตอนนี้ชานซองอยู่ไหน??”

“น่าจะอยู่สนามบินแล้วล่ะ”

กว่าจะฝ่าด่านรถติดมหาประลัยในช่วงเที่ยงวันมาสนามบินได้ ก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง ใจผมแป้วไปแล้วเรียบร้อย ป่านนี้ชานซองจะยังอยู่ที่สนามบินอยู่รึเปล่า

ตลอดทางผมก็เอาแต่กำแหวนของชานซองไว้แน่นไม่ยอมคลาย ถึงแม้ไม่รู้ว่าตอนนี้ชานซองจะยังอยู่ที่นั่นไหม แต่ผมก็รีบวิ่งเข้าไปด้านในทันทีที่พี่คุณจอดรถยังไม่ทันสนิทดีที่หน้าสนามบิน

ผมวิ่งเหมือนคนบ้า หรือพวกตัวเอกในละครที่มักจะมีฉากนี้อยู่บ่อยๆ แน่นอนว่าคนรอบข้างก็มองมาทางผมแปลกๆ

“ไอ้บ้าเอ๊ย! ทำแบบนี้ได้ไงวะ ไหนบอกจะไม่เอาคืนไง แล้วมาทิ้งไว้แบบนี้เลยหรอ ยังไม่ทันได้ฟังคำตอบเลย ไอ้ๆๆๆ” ผมตะโกนก่นด่าชานซองเป็นบ้าเป็นหลังเมื่อวิ่งเกือบจะทั่วเกสก็ไม่พบร่างของคนที่ตามหาเลย สุดท้ายก็ต้องเดินปาดน้ำตาบ้าๆ ที่แม่งจะไหลลงมาทำไมนักหนามาตลอดทางที่เดินกลับไปยังทางเดิม พี่คุณกับอูยองคงรอผมอยู่แถวๆ ประตูทางออก

เดินก่นด่าชานซองมาได้สักพักผมก็ต้องหยุดเดินเพราะจากเสียงด่าในคราแรกตอนนี้กลายเป็นเสียงสะอื้นแทน น่าสมเพชสิ้นดี ผู้ชายที่ไหนเขาร้องไห้แบบนี้กัน

ไม่รู้ว่าน้ำตาที่ไหลออกมามันเป็นเพราะว่าผมโกรธชานซองที่จู่ๆ ก็ทิ้งกันไปไม่ลา หรือเป็นเพราะผมไม่อยากให้เขาไปกันแน่ แต่ที่รู้ๆ คือผมอยากให้เขามายืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้เหลือเกิน

ยืนก้มหน้าปาดน้ำตาได้ไม่เท่าไหร่ จู่ๆ ร่างของผมก็ถูกสวมกอดจากทางด้านหลัง ผมตกใจแทบจะหันไปชก เฮ้ย มีโรคจิตในสนามบินด้วยหรอวะ!

“ชานซอง!!”

พอกระเด้งตัวหันมามองคนที่ถือวิสาสะเข้ามากอด ดวงตาผมก็เบิกกว้างพร้อมกับตะโกนออกไปเต็มเสียง

“ร้องไห้ทำไม ร้องเพราะฉันรึเปล่า” ชานซองยิ้มเจ้าเล่ห์ เอ่ยถามผมด้วยสีหน้ากวนๆ น้ำตาที่ไหลก็เหือดแห้งโดยอัตโนมัติราวกับสั่งได้

“ตลก ใครร้องไห้ แล้วใครจะไปร้องให้นายกันวะ” ผมเชิดหน้าเชิดคอใส่ชานซอง ทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ แต่ในใจตอนนี้กำลิงโลดจนอยากจะกระโดดกอดคนตรงหน้าเต็มที่ แต่นั่นไม่ใช่นิสัยคนอย่างอีจุนโฮ

“แล้วถ้าไม่ใช่เพราะฉัน ใครที่ไหนวิ่งร้องไห้ทั่วสนามบินกัน”

“ตลกเห่อะ! ก็บอกว่าไม่ได้ร้องไง!” ผมเถียงกลับหน้าดำหน้าแดงด้วยความเขินอายที่พุ่งปรี๊ดจนแทบทะลุปรอด

“แล้วในมือนั่นอะไร กำอะไรไว้อยู่ ขอดูหน่อยสิ” ชานซองไม่สนเสียงโวยวายของผม แต่จ้องมาที่มือข้างหนึ่งของผมที่ยังคำกำแหวนของเขามาตลอดตั้งแต่อยู่บนรถ

“มะ…ไม่ให้!”

ผมหรือจะขืนแรงควายๆ ของชานซองได้? แน่นอนว่าหมอนั่นดึงแขนข้างนั้นของผม แล้วพยายามแกะมือผมที่กำกันไว้แน่นออก ถึงแม้จะต้องใช้เวลา สุดท้ายชานซองก็ได้เห็นของที่ผมกำไว้อยู่จนได้

อาย อายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี

“แหวนวงนี้ขอคืนก่อนนะ” ชานซองพูดพลางหยิบเอาแหวนจากมือผมไป หัวใจผมก็พลันกระตุกวูบ

“ของนายนี่! จะเอาก็เอาไปเลย! แล้วจะให้มาตั้งแต่แรกทำไมวะ!!” ผมโกรธเลือดขึ้นหน้าขอบตาพลันร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง งี่เง่า! งี่เง่าจริงๆ ถ้าคิดจะเอาคืน แล้วจะให้มาตั้งแต่แรกทำไมวะ! สนุกมากนักหรอที่มาล้อเล่นกับคนอื่นแบบนี้น่ะ!!

“จุน…”

“นายมันงี่เง่าว่ะ! มาล้อเล่นกับความรู้สึกคนอื่นแบบนี้ได้ไงวะ ไหนบอกจะไม่เอาคืนไง แล้วนี่ไรอ่ะ โกหก! ไอ้คนโกหก ไอ้บ้าเอ๊ย!” หน้าชานซองตอนนี้พร่าเบลอไปด้วยหยาดน้ำตาที่บดบังทัศนียภาพของผมไปแล้ว ผมปาดน้ำตาออกลวกๆ ด้วยหัวใจที่เต้นถี่ ความโกรธ ความน้อยใจ ความเสียใจ และผิดหวัง มันปนเปจนมั่วไปหมด

“จุนโฮใจเย็นๆ ก่อน” ชานซองขมวดคิ้วเอ่ยออกมาเสียงเบาเมื่อคนรอบข้างเริ่มหยุดให้ความสนใจเราสองคนมากขึ้น แน่ล่ะ ก็ผมเล่นโวยวายไปซะขนาดนั้น

“ใจเย็นไรเล่า! อยากได้ก็เอาคืนไปเลย เอาไปให้หมดเลยนะ! แล้วจะหนีกันไปไหนก็ไปเลย! ฮึก”

“เห้ย ไปกันใหญ่แล้ว ใจเย็นๆ ก่อน ฉันไม่ได้จะหนีนายไปไหน แล้วไม่ได้จะเอาอะไรคืนจากนายเลยนะ” ชานซองเข้ามาจับต้นแขนผม แต่ผมสะบัดออก

“ก็เห็นๆ กันอยู่ยังจะโกหกอีก! ไหนบอกว่าจะไม่เอาคืนไงที่บอกมา แล้วจู่ๆ ก็หายกันไปไม่บอกอะไรสักคำ นายมันงี่เง่า!”

“เรื่องนั้นฉันขอโทษ ก็กลัวนายไม่คิดตรงกัน”

“แล้วฉันบอกรึยังเล่า!”

ผมตะโกนกลับไปเสียงดังจนชานซองมองซ้ายมองขวาด้วยสีหน้าเจื่อนๆ สงสัยจะอายคนที่หยุดยืนมอง นี่ผมแอบเห็นคนยกมือถือขึ้นมากดถ่ายวิดีโอด้วย โว้ยยยย ถ้ากูเห็นใครลงทวิตนะจะตามไปด่าให้

“เบาๆ หน่อย คนมองเราเยอะแล้วจุนโฮ”

“ช่างสิวะ อายนักก็ออกไปไกลๆ เลย จะไปไหนก็ไป” ว่าจบผมก็หมุนตัวทำท่าจะเดินออกมาแต่ก็ถูกรั้งไว้

“จะไปไหน”

“กลับบ้าน!”

“ไม่ให้กลับ”

ผมหันไปถลึงตาใส่ชานซอง พยายามแกะมือที่จับแขนอยู่ออก แต่ผลที่ได้คือเขาเพิ่มแรงบีบจนกระดูกแทบแหลก

“แล้วตกลงคำตอบว่าไง”

“คำตอบไร”

“ก็ที่นายบอกว่ายังไม่ได้บอกฉันน่ะ”

หน้าผมเห่อแดงขึ้นมาอัตโนมัติ รอยยิ้มกรุ้มกริ่มกับสายตาเจ้าเล่ห์ที่มองผมอย่างรอคำตอบ ทำเอาสติสตังที่ขาดผึงไปเมื่อครู่ค่อยๆ ปะติดปะต่อกลับเข้าร่าง และก็พบว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่หยุดยืนมองผมกับชานซองอยู่ หน้าหนาๆ เมื่อครู่ก็เริ่มบางลง จะมาตายตรงคำพูดตัวเองที่หลุดออกไปนี่แหละ

“อะไร ไม่บอก” ผมขมุบขมิบปากตอบเสียงเบาพลางก้มหน้าหลบสายตาที่จ้องมา

“ได้ไง ถ้าไม่บอกฉันไม่คืนแหวนให้หรอกนะ”

“เรื่องของนาย แหวนนั่นมันเป็นของนายตั้งแต่แรกแล้วนิ”

“ใครบอก ของ‘เรา’ต่างหากล่ะ”

ผมเบือนหน้าหนีพลางเม้มปากแน่น บ้าจริง ใจผมกำลังเต้นแรง!

“ไม่อยากได้สักหน่อย” ผมว่าพลางสะบัดแขนตัวเองออก ซึ่งชานซองก็ยอมปล่อยแต่โดยดี แต่สายตาเจ้าเล่ห์นั่นก็จ้องมองผมด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่ผมเห็นทีไรก็พาตีนกระตุก

“ไม่อยากได้จริงหรอ?”

“เออ”

“แต่ฉันอยากให้นะ นี่ จะบอกคำตอบได้รึยัง เราเหลือเวลาไม่มากนะ เครื่องใกล้จะออกแล้ว”

“เรื่องของนายสิวะ รีบนักก็ไปเลยป่ะ”

“ฉันไปคนเดียวที่ไหน นายก็ไปกับฉันด้วยไง เนี่ย ตั๋วของเรา” ชานซองว่าพลางชูตั๋วเครื่องบินสองใบขึ้นตรงหน้า ซึ่งทำเอาผมขมวดคิ้วมองงงๆ

“อย่ามาตลกหน่อยเลย”

“ก็ไม่ได้ขำนี่ ของฉันกับนายจริงๆ เร็วสิ”

“ชานซอง! หยุดบ้าสักทีได้ปะ!”

“เอ้า บ้าอะไร นายเป็นคนบอกเองว่าอยากไปเที่ยวรอบโลกไม่ใช่รึไง”

“แล้วเกี่ยวไร”

“ก็นี่ไง ตั๋วเครื่องบิน”

ผมเริ่มจะหมดอารมณ์มาต่อล้อต่อเถียงกับชานซองเต็มทน พูดจาไม่รู้เรื่อง เอาแต่เล่นลิ้นอยู่นั่นแหละ

“ชานซอง ฉันไม่ตลกด้วยนะ” ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะกดเสียงต่ำ สีหน้าตอนนี้คงแสดงออกว่าไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด แต่อีกฝ่ายก็ยังคงยิ้ม อะไรวะ เป็นบ้ารึไง

“ฉันพูดจริงๆ ไม่รู้ล่ะ บอกไปแล้วว่าไม่เอาคืนหรอกนะ แล้วจะไม่พูดจริงๆ ใช่ปะ งั้นป่ะ ไปกันเลยแล้วกัน” ไม่ว่าเปล่า ชานซองยังฉุดแขนผมพาเดินออกไปจากตรงนั้นทันที

“เฮ้ย อะไรเนี่ย!”

ผมรีบขืนตัวไว้ ไม่ยอมไปตามแรงลาก ชานซองหันมาขมวดคิ้วมุ่นมองผม เอ้า ไอ้นี่ ยังมีหน้ามามองกันแบบนี้อีก

“เครื่องใกล้ขึ้นแล้วนะ มัวลีลาเดี๋ยวก็ตกเครื่องกันพอดี”

หัวสมองผมตอนนี้มึนงงไปหมด อะไรกันวะ เท่าที่ทบทวนมาตั้งแต่แรกคือชานซองหนีหน้าผม หายไปไม่ยอมบอก แล้วยังไปไกลถึงนอกประเทศ แถมยังเอาแหวนที่ตัวเองเพิ่งให้ผมมาแท้ๆ คืนอีก จู่ๆ จะมาลากพาผมขึ้นเครื่องไปด้วย งงแล้วนะ

“เดี๋ยวๆ หยุด นี่มันเรื่องอะไรกัน ฉันงงไปหมดแล้วนะ”

ความรู้สึกเศร้าเสียใจต่างๆ ก่อนหน้านี้เหมือนมลายหายไปจนหมดสิ้น แทนที่ด้วยความมึนงง

“จุนโฮแต่งงานกัน”

“ห้ะ”

ผมเบิกตาโตจนแทบถลน เมื่อกี้หูผมเพี้ยนรึเปล่าวะ?

“แต่งงานกันไง เอานี่” ชานซองพูดจบก็สวมแหวนใส่นิ้วนางข้างซ้ายให้อย่างรวดเร็ว จนผมที่ยังงงๆ อยู่ไม่ทันได้ตั้งตัว

“จะไปได้รึยัง เดี๋ยวไม่ทันขึ้นเครื่อง”

“ห้ะ”

“งงอะไรอีก พูดขนาดนี้ยังไม่เข้าใจอีกรึไง”

“ห้ะ”

“ถ้าห้ะอีกที ฉันจะทำให้พูดไม่ออกเลยนะ”

เงียบสิครับ…

“เดี๋ยวๆๆๆ นี่มันเรื่องบ้าไรเนี่ย” ผมยกมือข้างที่ถูกสวมแหวนแบบงงๆ ขึ้นมาชู ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำแค่เลิกคิ้วแล้วตอบออกมาหน้าตาเฉย

“ก็แหวนแต่งไง จริงๆ เอาไว้หมั้นก่อนก็ได้ ตอนเข้าพิธีค่อยสวมแหวนจริง โอเคไหม?”

“ห้ะ”

ผมรีบตะครุบปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน เมื่อจู่ๆ ชานซองก็โน้มหน้าเข้ามาหมายจะทำตามที่พูดไว้ก่อนหน้านี้จริงๆ เฮ้ย ไม่อายคนอื่นเลยรึไงวะ

“เฮ้ยชานซอง นี่หยุดก่อน มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่ พูดให้เคลียร์ก่อนสิวะ” ผมฝืนแรงลากอีกครั้งเมื่อชานซองเริ่มออกตัวเดินไปข้างหน้าพร้อมกับพยายามลากผมไปด้วย

นี่สมองผมมันยังปะติดปะต่ออะไรไม่ได้เลยสักอย่าง เออเร่อเลยแหละ บ้าปะ คิดดูดิ จู่ๆ ก็หายไป แล้วฝากเช็คเงินกับแหวนบ้านี่ๆ มาให้แทน แล้วจะไปไหนก็ไม่บอก เจอกันอีกทีก็มาบังคับให้ผมขึ้นเครื่องไปกับเขาด้วย แถมยังมาขอแต่งงาน ไม่สิ บังคับสิถึงจะถูก เออ นั่นแหละ มาขอแต่งงานกันดื้อๆ โดยไม่ฟังความเห็นจากผมเลยสักนิด โอ้ยยย งงโว้ยยย

“ฉันรักนาย”

“ห้ะ”

“จุนโฮ ถ้านายห้ะอีกที ฉันจะทำจริงๆ ด้วย”

“ทำ…ทำบ้าอะไร! พูดจาสองแง่สองง่าม!”

แต่ดะ…เดี๋ยวนะ เมื่อกี้ชานซองบอกรักผม? เห้ย หูผมไม่ฝาดจริงๆ ใช่ไหม เห้ยยยย

“เดี๋ยวนะ เมื่อกี้นายพูดว่าไรนะ”

“ฉันรักนายไง ก็เคยบอกไปแล้วนี่”

“แต่นายไม่เคยพูดนี่!” ผมเถียงกลับ ถึงแม้ว่าชานซองจะเคยบอกชอบผมจากที่เล่นเขียนมือ แล้วก็จากในไดอารี่ แต่ผมไม่เคยได้ยินกับหูตัวเองสักครั้ง

“ถึงไม่ได้พูด แต่ฉันก็บอกนายไปชัดเจนแล้วนี่ มีแต่นายนั่นแหละที่ปากแข็ง”

“ปากแข็งอะไร?? ฉันไม่เคยบอกซะหน่อยว่ารู้สึกอะไรกับนาย”

ชานซองนิ่งมองผมด้วยสายตาวูบไหว จนผมเองก็รู้สึกใจเสียกับสิ่งที่ตัวเองพูดออกไป

“กะ…ก็หมายถึงว่ายังไม่เคยพูดนี่ แต่ก็…เอออ เหมือนกันแหละ” ผมก้มหน้างุดขมุบขมิบปากพูดประโยคท้ายออกไปเสียงเบา แต่ชานซองก็ยังคงนิ่งจนผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง คนตรงหน้าขมวดคิ้วมุ่นจ้องผมเขม็ง

“เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะจุนโฮ”

“พูดไปแล้ว อยากฟังก็ไปหารีเพลย์เอาเอง”

“เมื่อกี้พูดว่าอะไร ขอฉันฟังอีกรอบได้ไหม” ผมงงกับท่าทีจริงจังของชานซองที่เข้ามาจับต้นแขนจ้องหน้าผมเขม็ง ดวงตาคมโตนั่นสะท้อนประกายอะไรบางอย่างออกมา เรียวคิ้วหนายังคงขมวดมุ่นไม่คลาย น้ำเสียงที่เอ่ยถามก็จริงจังซะจนผมทำตัวไม่ถูก

“เอ่อ…ก็บอกว่าคิดเหมือนกัน คิดเหมือนนายไง” ผมเบือนสายตามองไปทางอื่นอย่างอายๆ จนได้สินะ ในที่สุดผมก็พูดออกไปจนได้ ถึงจะไม่ได้บอกออกไปตรงๆ แต่แค่นี้มันก็มากเกินพอสำหรับคนปากหนักอย่างผมแล้ว

หมับ!

ชานซองดึงผมเข้าไปกอดอย่างแรงจนผมร้องออกมาเสียงหลง แรงกอดที่รัดแน่นทำให้ผมเริ่มออกปากโวยวาย พยายามจะดันตัวออก แต่ชานซองก็เพิ่งแรงรัดผมแน่นกว่าเดิม

“ฉันคิดว่านายไม่รู้สึกอะไรแล้วจริงๆ คิดว่านายไม่ได้คิดเหมือนกันแล้วซะอีก”

“อะไรของนาย แล้วที่มาบังคับมาขอฉันแต่งงานไรนี่ ไม่ได้รู้หรอว่าฉันรู้สึกยังไงกับ…นายน่ะ” ผมงงอีกรอบ การกระทำของชานซองวันนี้ ผมคิดว่าเขามั่นใจว่าผมรู้สึกยังไงกับเขาแล้วซะอีก ไม่งั้นจะกล้าหน้าด้านสวมแหวนขอผมแต่งงานหน้าตายได้ยังไง

“ฉันกลัวว่านายจะปฏิเสธความรู้สึกของฉันจริงๆ เลยทำเป็นคิดว่านายใจตรงกันไงเล่า ทำไมซื่อบื้ออย่างนี้นะ” ชานซองพูดพลางกระชับอ้อมกอด ไม่ยอมปล่อยผมเป็นอิสระ

ว่าแต่…สรุปเรื่องวันนี้ที่เขาหน้าด้านพูดเข้าข้างตัวเอง มั่นอกมั่นใจว่าผมรู้สึกยังไง นี่คือแค่มโนไปเอง? คิดเข้าข้างตัวเองไปอย่างนั้น? เพื่อจะกลบเกลื่อนไม่ให้ผมได้มีทางปฏิเสธ?

โอ้โห โคตรล้ำ

“นายชอบฉันจริงๆ ใช่มั้ย ไม่ได้โกหกกันแน่นะ”

“ใครบอกว่าชะ…ชอบ พูดเองเออเอง ฉันแค่บอกว่ารู้สึกแบบเดียวกับนายต่างหากเล่า” ผมก้มหน้าซุกกับบ่าชานซอง ถึงแม้จะไม่ได้จ้องหน้ากันตรงๆ แต่ผมก็รู้สึกเขินจนแทบบ้า แล้วดูสิน่ะ คนผ่านไปผ่านมายังคงให้ความสนใจผมกับชานซองอยู่เลย

“ฉันรักนายไง นายก็รักฉันใช่ปะ”

“เออ”

แรงโอบรัดของคนที่กอดผมอยู่เริ่มทำให้ผมหน้านิ่ว จะแน่นเกินไปละ เริ่มจะเจ็บแผลผ่าตัดแล้วนะเว้ย! แล้วนี่ผมวิ่งแทบทั่วสนามบินจนลืมความเจ็บไปเลย เฮ้ย พอนึกถึงปุ๊บ บริเวณแผลก็แผลงฤทธิ์ทันที

“ชานปล่อยก่อน เจ็บแผลว่ะ กอดแน่นไปละ”

พอชานซองได้ยินแบบนั้นก็รีบผละตัวออกหน้าตื่น

“เจ็บตรงไหน ไปโรงบาลไหม ค่อยไปไฟท์ดึกแล้วกัน”

“เฮ้ย เดี๋ยวๆ นี่สรุปจะให้ฉันไปจริงๆ หรอวะ แล้วจะไปไหน นี่ตลกปะ ขอสาระ”

“เอ้า ก็พูดจริง ฉันขอนายแต่งงานแล้วไง เราก็กำลังจะไปฮันนีมูนกัน อยากเที่ยวรอบโลกไม่ใช่หรอ”

โอ้โห นี่พูดจริง!!?

“เอาจริง?”

“ก็เออน่ะสิ ฉันจำว่านายแค่ถูกยิง สมองไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรนะ ทำไมถึงได้เข้าใจอะไรยากจัง”

ผมว่าคนที่เข้าใจยากน่าจะเป็นชานซองมากกว่านะ

“แล้วสรุปจะไปไหมโรงบาล ถ้าไม่ไปก็จะได้ไปขึ้นเครื่องเลย เสื้อผ้าค่อยไปซื้อที่นู่นแล้วกัน รวย ขนหน้าแข้งไม่ร่วง”

“ห้ะ เออ แค่เจ็บนิดหน่อยคงไม่เป็นไร ไม่ต้องไปหรอกโรงบาล” ผมตอบมึนๆ แล้วเดินตามชานซองที่จับมือผมพาออกตัวเดิน นี่สรุปคือผมกับชานซองกำลังจะไปเที่ยวรอบโลกจริงๆ ?

“จะไม่บอกรักกันหน่อยหรอ จะจบเรื่องแล้วนะ”

“ไม่อ่ะ”

“บอกให้ชื่นใจหน่อยดิ”

ผมคิดช่างใจก่อนจะหยุดเดินแล้วจับมือชานซองขึ้นมาแบ ใช้นิ้วชี้ตัวเองลากลงบนฝ่ามือช้าๆ เป็นถ้อยคำที่ร้อยเรียงเป็นประโยคสั้นๆ

‘ฉันรักนาย’

พอเงยหน้าขึ้นไปมอง ชานซองก็ฉีกยิ้มจนแก้มปริแล้วยกแขนขึ้นพาดไหล่โอบรอบคอผมพาออกเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง

“ฉันก็รักนายเหมือนกันจุนโฮ”

 

END

ในที่สุดก็จบแล้ววววว

เป็นยังไงกันบ้างคะ? ร่วมสนุกกับเกมที่บ่ายได้ร่วมเล่น มีโกงบ้างเป็นบ้างครั้ง แต่ส่วนมากจะโกงกันซะส่วนใหญ่ 55555555

เรื่องนี้ใสมากกกก ใสแบบเรท G/PG กันไปเลย เป็นเรื่องแรกของเอยที่ไม่มีฉากพาเรทเลยสักซีน ๕๕๕๕๕๕

แต่งมาจนจบก็รู้สึกเหลือเชื่อในความใสของตัวเองจริงๆ รู้สึกมันใสเกินไป 5555555555

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่ร่วมติดตามฟิคคุณแฟนกันมาจนจบนะคะ กินเวลามาสองปีพอดีเลย

ใครที่สนใจอยากได้เก็บไว้เป็นลูกเล่ม กรอกแบบฟอร์มในลิ้งด้านล่างนี้ได้เลยนะคะ

ในเล่มจะมีเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อหาในไดอารี่ชานกับโฮ แล้วก็บทสัมภาษณ์รูปแบบเต็ม

ใครที่ยังไม่ได้ร่วมส่งคำถามที่อยากถามทั้งหกคู่ ยังส่งมาได้จนถึงสิ้นเดือนนี้นะคะ >> คลิกสิจ๊ะ

เปิดพรีฟิคคุณและและโคสเฟรนรอบรีปริ้นท์ >> [Pre-Order/Re-Print] My Boyfriend / Close Friend

ฟิคคุณแฟนเรื่องนี้ไม่มีรีปริ้นหรือรอบสต็อคนะคะ หมดแล้วหมดเลย เพราะเอยตัดสินใจรวมเล่มเพราะมีคนอ่านบางท่านอยากได้ค่ะ

เอยขอแจ้งประกาศสำคัญ นับตั้งแต่วันนี้เอยจะงดแต่งฟิคแบบไม่มีกำหนดค่ะ
ต้องขอโทษทุกคนที่ติดตามรอแมวหลงและเรื่องอื่นๆ ของเอยด้วยนะคะ
ขอบคุณทุกการสนับสนุน เอยซาบซึ้งน้ำใจกับทุกคอมเม้นท์จริงๆ เหมือนเป็นกำลังใจและแรงผลักดันให้เอยพยายามพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น

I’ll be back

 

14 thoughts on “My boyfriend : [CH.23/END]

  1. งื้ออออ ค้างอ้ะ พี่เอย ค้างงงง! นี่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตัดตอนที่ชานนูนอเค้าหวานใส่กัน 5555555 ยังคงรอ 80% มานะคะ ตอนนี้ห่วงชานมากเลย ไม่ใช่ว่ากอดโฮไว้เเล้วตัวเองกระแทกโขดหินเองนะ ไม่เอานะะะะะ มาต่อเร็วนะคะพี่เอย ค้างจริมๆ

  2. พี่เอยโคตรค้างงงเลยอ่ะ มาต่อเร็วๆนะ

  3. ค้างแรงมากกกกก มาต่อไวๆน้าไรเตอร์ที่รัก 😘😘😘

  4. อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก T^T
    โฮโดนยิงหรอ ไม่น๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
    ไม่จริง โฮต้องไม่เป็นอะไร T^T ม่ายยยยยยยยยยยยย
    ชานช่วยโฮด้วยน๊า
    T^T

  5. จุนโฮโดนยิง แถมต้องโดดน้ำอีก อย่าตายน้าาา

  6. ค่ะ….เขินแทนค่ะ -/////////- ทั้งไดอารี่ ทั้งแหวน ไหนจะเช็คเงินสด ไหนจะตั๋วเครื่องบินเที่ยวรอบโลก อหหหหห ฮวางคนรวย (อยากได้จังค่ะ *_*) ‘เสื้อผ้าค่อยไปซื้อที่นู่น รวย ขนหน้าเเข้งไม่ร่วง’ อื้อหืมมมมม อีจุนโฮโชคดีมากค่า คู่นี้ก็หวานกันยันตอนจบอ่ะ เอาดิ่ และในที่สุดคำถามที่หลายคนถามว่าชานเขียนไรบนมือโฮก็เปิดเผย 5555555 พออ่านจบปุ๊บแบบ โฮโครตซึนเลอะ ตอนแรกก็ว่าไม่ค่อยงงนะ พออ่านไปอ่านมานี่ก็เริ่มมึนโฮละว่าจะงงไรนักหนา ถ้านี่เป็นชานคงหาเทปใสมาแปะปากไว้แล้วลากไปเลย 55555555 ขอบคุณพี่เอยที่แต่งจนจบนะคะ 🙏🏻😊

  7. ถึงจะจบโฮก็ยังปากแข็ง
    ชอบตอนเขียนบนฝ่ามือชานอะ
    ฉันรักนาย โอ้ยมันฟินนนนนน

  8. โอ่ยย ถ้าเค้าเป็นชานเค้าคงลากจุนโฮไปขึ้นเครื่องเลย55555 จุนโฮนี่งงอะไรบ่อยย ถถถถ งื้อแต่เขินนนน ขอบคุณที่เอยแต่งให้อ่านจนจบเลย🎉 เค้าจะรอพี่เอยกลับมาแต่งงงง

  9. ในที่สุดดดดดดดด ก็บอกรักกันแล้ว นึกว่าจะหักมุมกลัวมาก
    จบแล้ว ขอบคุณมากคะ
    หมั้นเฉยๆ แต่จะไปฮันนี่มูนรอบโลกเนี่ยนะชานโฮ
    ยังไงก็แวะมาไทยบ้างนะ 5555 อาจจะหวานกว่าเดิมก็เป็นได้ ^^

  10. จบเเล้วววว จบได้น่ารักมากกก ไม่มีฉากเรทเราก็เขินได้ 555

    ไรท์งดเเต่งหรอ เสียใจนะ อยากอ่านเรื่องต่างๆ อีก แต่ไม่เป็นไรค่ะ ไรท์สู้ๆ นี่รอได้น้าาา

  11. กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด ขอกรี๊ดก่อนนะ ไม่ไหวแล้วว ฮือออออออ น่าร้ากกกก ตอนแรกนึกว่าจุนโฮจะเป็นไรมากซะอีก โล่งงง ละชายเป็นห่วงแค่ไหนนั้น โง้ยๆ >< ชานโรแมนติกง่าสาแอบสลักแหวนด้วย คิๆ น่ารัก ละตอนจุนโฮจะไปหาชาน นึกว่าชานจะหนีไปซะละ 5555 จุนโฮนี้ก็ปากแข็งไปนะ ปากไม่ตรงกับใจ แถมโวยวาย น่าจะให้ชานจับจูบ 5555 ละตอนนางบอกรักชานอร้ายยย จั๊กจี้หัวใจ จบน่ารักมากเลย ชอบๆ ใสๆดี 😊❤️ /รอไดอารี่ในเล่มนะจ๊ะ จุ้บๆ

  12. กรี๊ดดดดดดดด รู้สึกนิพพาน อ่านจบแล้วอ่านซ้ำอีกรอบทันที5555555555 แบบโอ้ยยยยย น่ารักมากกกกก โฮดูเอ๋อๆไปเลยยยยย เจอชานซองเล่นเข้าไปถึงกับเอ๋อเลยยยย5555555 ฟินมากค่ะ ตอนจบจบได้สวยมากกกกก น่ารัก เราฟินมากจริงๆนะพี่เอย มันใสๆดูน่ารักดีอะ แบบไม่เรทก็จริงแต่เราก็ยังฟินจิกหมอนได้ ฮือออออ มันเข้าคอนเซ็ปที่ว่า ใสๆวัยรุ่นชอบบบบ 5555555 เดี๋ยวเราจะสั่งซื้อแน่นอนค่าาา จองไว้เลยเล่มนึง แต่ขอยังไม่รีบกรอกแบบฟอร์มนะคะ ใกล้ๆแล้วค่อยกรอก ก๊ากกกก #ขก.กรอกฟอร์มแต่ไม่ขก.อ่านฟิค #คนเรา 55555555 สุดท้าย ดีใจด้วยนะคะพี่เอยที่แต่งจบแล้วววว ร้ากกกกก เรารออ่านเรื่องต่อไปของพี่เสมอออ จุ้บๆๆ

  13. กรี๊ดดดดดดดดดดอร้ายยยยยยยลุ้นหนักมาก อีจุนโฮฮฮฮฮฮปากหนักมากนะคะคุณเทอ? จะหาแฟนดี ๆ แบบชานงี้ได้ที่ไหนอ่ะ อยากไดดดดดด้55555555555
    น่ารักสุด ๆ ใส ๆ ได้ใจจิง ๆ ค่ะชอบเลย^^
    อ่านประกาศแล้วแอบเศร้าไรต์จะหยุดจิง ๆ เหรอคะ ยังไงก็จะรอ….เชื่อว่ายังไงก็จะไม่ทิ้ง ผช.ที่ค่อดน่ารักพวกนี้ไปได้นานน๊าาาาา^^

  14. ยัง ยังอีกนะชนน. สรุปว่าอิหมีก็จะมึนตั้งแต่ต้นเรื่องไปจนจบเรื่องเลนช่ะ?มึนบังคับเาเป็นแฟนแล้วก็มึนบังคับเค้าแต่งงานอีกแต่ที่เหนือไปก่าวนั้นคือนุ้งโฮของมี๊ก็มึนไปกับด้วยเหมือนกันเนอะ เอาแต่งก็แต่งไปฮันนี้มูลรอบโลกกันเถอะ เสื้อผ้าไม่ต้องซื้อใหม่เพราะเค้ารวยขนหน้าแค่งไม่ล่วงคะจบนะ55555555

ชื่อไม่ต้องใส่ก็เม้นท์ได้จ้า